ทริปท่องแดนปลาดิบแบบแบคแพคเกอร์

‘วิธีไปญี่ปุ่นด้วยตัวเอง พาครอบครัวไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบไปเอง 3 วัน 2 คืน แบบแบคแพคเกอร์’ (รูปภาพทั้งหมดอยู่ล่างสุดนะครับ)

พาลูกเล็กไปเที่ยวญี่ปุ่น

ต้นปีครอบครัวของเรามีวางเป้าหมายกันไว้ว่า สิ้นปีนี้ (2015) จะต้องไปเที่ยวญี่ปุ่นกันเองให้ได้ จากนั้นผมก็ได้เขียนเป้าหมายลงไปในกระดาษ แล้วปล่อยให้มันเป็นไปตามความฝันของเรา

ผม ภรรยา และลูกชายวัย 1 ปีกว่า มีโอกาสได้ไปจริงๆ ครับ ก็เมื่อความฝันนั้นได้เลื่อนเข้ามาใกล้จนเรา รีบคว้าและทำให้มันเป็นจริงนั่นเองครับ เรื่องมีอยู่ว่า…

ในเดือน 5 ที่ผ่านมา ภรรยา ได้บอกว่า “พี่ๆ เราจะยังไปญี่ปุ่นกันกันอีกไหม?…”

ผม ก็ตอบเธอไปว่า “ไปสิ… นั้นคือเป้าหมายของครอบครัวเราเลยนะ สิ้นปีไงครับ…”

ภรรยา “แต่ถ้าไปเดือน 7 พี่จะไปไหม?…”

ผม “ไปสิ ไปทั้ง 3 คนเลยนะ” ผมตอบเธอไปโดยยังไม่รู้เลยว่าเราจะไปกันได้อย่างไร…

และแล้วความฝันนั้นก็ใกล้เป็นจริง เมื่อเพื่อนๆ ของภรรยากำลังจะเดินทางไปทำงานที่นั่น และจะไปเที่ยวกันก่อน 3 วัน ก่อนที่พวกเขาจะอยู่ทำงานต่อ ซึ่งพวกเขาจะพาเราไปเที่ยว ผมไม่รีรอกับโอกาสที่จะนำพาเราไปที่ญี่ปุ่นเลยแม้แต่น้อย พวกเรา พ่อ แม่ ลูก ทั้ง 3 รีบไปอัพเดทหนังสือเดินทางและพาลูกชายไปทำพาสปอร์ตเล่มแรกของเขา กันเลยในอาทิตย์นั้น

จากนั้นภรรยาก็หารถเข็นลูกแบบขนาดพกพาไปบนเครื่องได้ ซึ่งขอบอกว่าเจ้ารถเขนลูกนี่แหละที่ช่วยพวกเรา ได้มากในการขนข้าวของ ทั้งๆ ที่ตอนแรกเหมือนจะเป็นภาระ จากนั้นพวกเราได้เตรียมตัวเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเดินทาง ก่อนล่วงหน้าตั้งเกือบเดือน เหมือนมันกำลังจะไปวันพรุ่งนี้แน่ะครับ บอกตามตรงตื่นเต้นครับ…555

โชคดีครับ ที่เราไม่ต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินสำหรับลูก เพราะยังไม่ถึง 2 ขวบ โดยให้นั่งกับเรา (แต่มีจ่ายส่วนต่างนิดหน่อยเองไม่เกิน 7,000 บาท ไปกลับ)

จากนั้นก็มาถึงวันที่จะต้องบินกันแล้วหละครับ และจากนี้น้องอุ้ม หนึ่งในขณะน้องๆ ที่น่ารัก ที่ได้ร่วมเดินทางไปกับเรา ซึ่งเป็นหัวแรงหลักในการช่วยพาเราไปให้ถึงเป้าหมายแบบสบายครับ

ผมจึงขอให้น้องเขาให้ข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อแบ่งปันและเผื่อผมจะได้ไปกันอีกครั้งอย่างมั่นใจ จะได้ไปตามลายแทงนี้ และนี่คือรายละเอียดทั้งหมดของทริปท่องแดนปลาดิบแบบแบคแพคเกอร์ครับ (ซึ่งมีบางวันบางสถานที่ๆ เราขอแยกไปกันเอง เพื่อไปเจอเพื่อนรุ่นพี่ที่พำนักอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น คือ วันที่ 13 นั่นเองครับ)

กำหนดการเดินทาง  10 ก.ค. – 14 ก.ค. 2558

วันที่ 10 ก.ค.2558           

21.00 น.   พร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

23.00 น.   เหินฟ้าสู่ประเทศญี่ปุ่น โดยสายการบิน ไทย  เที่ยวบินที่ TG642

วันที่ 11 ก.ค.2558

08.10 น.   ถึงที่หมาย สนามบินนาริตะ รับกระเป๋าผ่าน ตม. เมื่อออกมาก็ลงบันไดเลื่อนไปที่ชั้นล่างเพื่อไป Ticket Office ของ JR เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องตั๋วและบัตร Suica  ใช้เวลาประมาณ  1 ชม.

09.45 น.   เดินทางไปพบกับฟูเขาไฟฟูจิ Fuji Mt. ด้วยการเดินทางแบบรถไฟ

1

แต่ในกรณีที่เราโชคดี จะมีรถไฟพิเศษอยู่ 1 ขบวน จะเป็นขบวนจาก Narita ตรงไปยังสถานี Kawaguchiko ซึ่งจะมีเฉพาะในวันหยุดเท่านั้น แล้วก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า รถไฟสายนี้ ถูกยกเลิกไปแล้วหรือยัง??

วิธีการไป : Kawaguchiko ต้องนั่งรถไฟสาย Fujikyu ซึ่งเป็นของเอกชนแยกจาก JR ยังไงก็ต้องเสียเพิ่มคนละ 1,140 เยน ไปกลับก็ 2,280 เยน นั่งจาก Shinjuku – Otsuki – แล้วเปลี่ยนขบวนไป Fujikyu จนถึง Kawaguchiko เราเปลี่ยนขบวนเป็น Fujikyu เรียบร้อย แล้วนั่งต่อไปเรื่อยๆ อย่าลงจนกว่าจะถึง Kawaguchiko ถ้าคนลงเยอะสถานีไหนก็ช่างมัน
โปรดระวัง! จะมีสถานี Mt.Fuji แล้วคนจะลงเยอะมาก เพราะมันเป็นสถานีใกล้กับสวนสนุก Fujikyu Highland นักเรียนลงเยอะมาก เรารอจนรถไฟออกอีกครั้ง รถไฟจะวิ่งถอยหลัง แล้วเราก็จะถึง สถานี Kawaguchiko

13.40 น.   ถึงสถานี Kawaguchiko  และหาทางไป check-in ที่ Hotel New Century, Azagawa 180-1, Fujikawaguchiko-cho, Minamitsuru-gun

14.15 น.   เดินทางถึงโรงแรม New Century  ในกรณีที่สามารถ check in ได้เลย เราก็จะขึ้นไปยังห้องพักกันก่อน แล้วค่อยออกไปหาอะไรทาน และพักผ่อนตามอัธยาศัย ด้วยการเดินทางแบบ Retro Bus

*** ในกรณีที่ยังไม่สามารถ Check in ได้ในเวลานี้ เราก็จะฝากกระเป๋าไว้ก่อน  แล้วจึงออกไปหาอะไรทานข้างนอก หลังจากนั้น ค่อยกลับมา Check in ใหม่อีกครั้งนึง

วิธีการเดินทางในคาวากูชิโกะ

วิธีการที่สะดวกที่สุดคือการนั่งรถ Retro Bus ซึ่งเป็นรถเมล์สายพิเศษที่วิ่งรอบทะเลสาบคาวากูจิ ซึ่งมี 2 สายที่เริ่มวิ่งจากต้นสถานี Kawaguchiko ราคาตั๋วแบบพาสที่ใช้ได้แบบไม่จำกัดเที่ยวในเวลาสองวัน รถวิ่งทุกๆ 30-40 นาที

– สาย Kawaguchiko Line Retro Bus   ราคา 1,030 เยน

– สาย Saiko-Aokigahara Line Retro Bus   ราคา 1,340 เยน

จากสถานีรถไฟ Kawaguchiko โดยสาร Kawaguchiko Line Retro Bus และสามารถที่จะเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆพร้อมชมวิวภูเขาไฟฟูจิได้อย่างสบายๆ การเดินทางโดยบัสสายพิเศษนี้มีทั้งหมด 21 ป้ายบัส ระยะทางโดยประมาณอยู่ที่ 7 กิโลเมตร ใช้เวลาโดยรอบประมาณ 30 – 40 นาที โดยไม่แวะลงที่ไหน

จากภาพโซนคาวากูชิโกะจะมี 2 ทะเลสาบคือ คาวากูชิโกะและไซโกะ มีรถวิ่งทั้งหมด แต่จุดที่เห็นฟูจิชัดสุดคือ คาวากูชิโกะ โดยเฉพาะเบอร์ 21

2

จุดที่ไกลสุดก่อน มีเวลาทั้งวัน จุดนั้นคือ 21 Kawaguchiko Shizen Seikatsukanจุด 21 มีภูเขาไฟฟูจิสะท้อนแผ่นน้ำอยู่ และมีสวนย่อมๆ ร้านขายของเล็กๆ ไอศกรีมลาเวนเดอร์ที่นี่เลิศมาก

จุดต่อไปที่ลงคือ จุด 18 Kubota Icchiku Bijutsukan ใกล้กับ 17 Kawaguchiko Sarumawashi Gekijo・ Konohana Bijutsukan เดินต่อกันได้ เพื่อชมใบไม้แดง นั่งเรโทรบัสกลับมา จุด 6 – Yagisaki Koen เพื่อจะไปต่อที่ Saiko Lake อีกด้านหนึ่ง (จากจุด 6 นั่งไปถึง Saiko ใช้เวลาเกือบชั่วโมงถ้าไป)

ป้ายที่ สถานที่ท่องเที่ยวรายละเอียด

1.Kawaguchiko Station   เป็นจุดศูนย์รวมการเดินทาง มีทั้งสถานีรถไฟ สถานีรถบัส และมีร้านขายของฝากมากมาย

6.Yagisaki Koen   มิ.ย.-ก.ค. มีเทศกาลดอกลาเวนเดอร์สีม่วง สวยฝุดๆ

7.Kawaguchiko Herb Kan   ที่ตั้งบ้านสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เครื่องหอม Kawaguchiko Kitahara Museum “Happy Day” 800 เยน พิพิธภัณฑ์ของเล่น

10.Yurasen Ropeway Iriguchi

  • กระเช้าลอยฟ้าคาชิคาชิ Kachikachiyama Ropeway เที่ยวเดียว 400 เยน ไปกลับ 700เยน (จุดสีแดงจ่ะ) เป็นกระเช้าที่จะพาขึ้นชมวิวมุมสูงจากยอดเขาเท็นโจ ที่มีรูปปั้นเจ้ากระต่ายกับเจ้าทานุกิจอมแสบ
  • Ensoleille ล่องเรืออองซอแลอีเย 900เยน ลงจากกระเช้าแล้ว เดินข้ามฝั่งทะเลสาบ ก็จะพบกับเรืออองซอแลอีเย ล่องอยู่ที่ทะเลสาบประมาณ 20 นาที

15.Kawaguchiko Bijutsukan   800    เยน เป็นที่ตั้งของ Kawaguchiko Art of Museum รวบรวมเอาผลงานศิลปะเกี่ยวกับฟูจิซังและทะเลสาบคาวากุชิเอาไว้

16.Ukai Orgel No Mori Bijutsukan   1,300เยน พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี Kawaguchiko Music Forest Museum

17.Kawaguchiko Sarumawashi Gekijo   1,300 เยน พิพิธภัณฑ์แมวหน้าตากวนทีน มีคาเฟ่อาหารอร่อยๆ ด้วย

18.Kubota Icchiku Bijutsukan   อุโมงค์ต้นไม้ที่ทอดยาว สวยมากๆ โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสี

21.Kawaguchiko Shizen Seikatsukan   เป็นจุดที่ชมภูเขาไฟฟูจิที่สวยมากที่สุด และในเดือน มิย.-กค. ดอกลาเวนเดอร์จะบานทั่วสวน Oishi Park

*** ใช้เวลาในการปั่นจักรยานประมาณ 4 ชม.

*** ถ้าจะถ่ายรูป ให้เดินไปทาง Kawaguchiko Bridge ตรงบริเวณนี้เรียกกันว่า Ubuyagasaki เป็นจุดที่มองเห็นเงาสะท้อนน้ำ ของฟูจิได้อย่างสวยงาม และถ้าซากุระบาน จะสามารถถ่ายรูปซากุระ+ฟูจิได้

*** มีคนแนะนำว่า ให้ใช้ JR East Pass จองที่นั่งบนสาย Holiday rapid Mt.Fuji เพราะเป็นสายตรงจากโตเกียว ซึ่งสามารถจองที่นั่งได้ แล้วค่อยมาจ่ายเงินเพิ่มเอาที่สถานี Kawaguchiko ในกรณีที่เรายังไม่ไปเช็คอินที่โรงแรม เราสามารถเดินทางไปเที่ยวได้ที่ เจดีย์แดง Chureito Pagoda โดยที่เราสามารถฝากกระเป๋าไว้ที่สถานี Kawaguchiko ก่อนได้เลย

 

วันที่ 12 ก.ค. 2558          

07.00 น.   ตื่นมาดูภูเขาไปฟูจิกันอีกซักครั้ง ก่อนเดินทางกลับโตเกียว

09.40 น.   พร้อมกันที่ Lobby

10.00 น.   ไปสถานี Kawaguchiko ด้วยรถของโรงแรมที่มีไว้บริการ..ฟรี

3

13.10 น.   ช้อปปิ้งไทม์@Shinjuku

** ในกรณีที่เราใช้บริการขนส่งกระเป๋า ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง เมื่อมาถึงสถานี Shinjuku แล้ว เราสามารถเก็บสัมภาระบางส่วนไว้ได้ที่ตู้ล็อคเกอร์ ที่มีไว้ให้บริการในทุกๆ สถานี

**แต่ในกรณีที่เราไม่ได้ใช้บริการขนส่งกระเป๋า เราจะเดินทางไปยังโรงแรม Shinjuku City Hotel N.U.T.S Tokyo เพื่อทำการฝากกระเป๋าก่อน

** การเดินทางจากสถานี Shinjuku ไปยัง สถานี Shinjuku Gyoemmae รถไฟมาทุกๆ 3 นาที หรือไม่เราก็สามารถเดินเท้าเพื่อกลับไปที่โรงแรมได้ ภายในเวลา  11 นาที

45

16.00 น.   ออกจาก Shinjuku เพื่อจะไปศาลเจ้าเมจิ แถวๆ Harajuku

**  ฮาราจูกุ (Harajuku) เป็นย่านที่มีสีสันไม่แพ้ย่านอื่นในโตเกียว ย่านนี้เป็นย่านของวัยรุ่นญี่ปุ่น มีการแต่งชุดคอสเพลย์ตามตัวการ์ตูนที่ชื่นชอบ มีการแสดงดนตรี โชว์ความสามารถพิเศษให้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้ชม

ร้านค้า แหล่งชอปปิ้งในย่านนี้จะเน้นไปที่เสื้อผ้าแฟชั่นแบบวัยรุ่น และร้านกิ๊ฟช๊อปน่ารักๆ หลายร้านที่สามารถเดินดูกันได้ทั้งวันแบบไม่มีเบื่อ และนอกจากนี้ย่านฮาราจูกุยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเมจิ เป็นศาลเจ้าที่คนญี่ปุ่นเคารพ นับถือ ตั้งอยู่ในสวนป่าใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศแบบธรรมชาติ การเดินเล่นในฮาราจูกุควรใช้เวลาตั้งแต่ครึ่งวัน ไปจนถึงเต็มวัน แล้วแต่เวลาที่มีและความชอบของแต่ละคน

วิธีการทำความสะอาดร่างกายก่อนเข้าศาลเจ้า : ที่บ่อโชวซุยะ…หยิบกระบวยด้วยมือขวา ตักน้ำขึ้นมาหนึ่งครั้ง แล้วเทน้ำประมาณครึ่งหนึ่งล้างมือซ้ายก่อน แล้วน้ำที่เหลืออีกครึ่งเทล้างมือขวา

ต่อจากนั้นตักน้ำอีกหนึ่งกระบวยเพื่อล้างปาก เสร็จแล้วตักน้ำอีกหนึ่งกระบวยเพื่อล้างกระบวย โดยถือกระบวยแบบตั้งฉากให้น้ำไหลลงมาจนถึงด้ามกระบวยจนหมด เป็นอันเสร็จพิธี

บางคนมาศาลเจ้าเพราะใจเป็นทุกข์ บางคนมาเพื่อขอพร ด้วยเหตุผลนี้จึงมีแผ่นป้ายของทางศาลเจ้าที่ให้เราได้เขียนขอพร ระบายความในใจ แผ่นป้ายนี้เราสามารถซื้อแล้วมาเขียนขอพรได้ มีแผ่นป้ายที่เขียนด้วยภาษาไทยหลายป้ายเหมือนกัน ส่วนมากนั้นจะขอพรให้ร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง สมหวังในความรัก

วิธีเดินทางไปศาลเจ้าเมจิ

***นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote Line (สายวงกลม-สีเขียว) ลงสถานี Harajuku ทางออก Omote-sando Exit

6

ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Dori) เป็นคนนคนเดินที่มีระยะทางเพียง 400 กว่าเมตร แต่เต็มไปด้วยร้านเสื้อผ้าแฟชั่นแบบแปลกๆ เสื้อผ้าแบรนด์เนม สินค้ากิฟต์ช๊อป ตุ๊กตาน่ารักๆ หรือถนนที่เราเคยได้ยินว่ามีวัยรุ่นญี่ปุ่นแต่งตัวแปลกๆ ก็คือถนนแถบนี้เนี่ยแหล่ะ

** หลังจากเที่ยวชมศาลเจ้าเมจิ ดูศรัทธา ความเชื่อของคนญี่ปุ่นไปแล้ว ก็ได้เวลามาเดินดูอะไรสวยๆ งามๆ บ้าง โดยเราจะเดินย้อนไปที่สถานีฮาราจูกุใหม่ เดินไปจนถึงทางออกทางทิศเหนือ แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นที่ตั้งของถนนทาเคชิตะ แหล่งเสื้อผ้าวัยรุ่นของญี่ปุ่น

18.30 น.   ไป Shibuya กันเถอะ สถานี้นี จะมีเจ้าหมา ฮาจิโกะ หมาน้อยผู้ซื่อสัตย์ที่อยู่เฝ้ารอเจ้าของจนตัวตายนั่งอยู่หน้าห้างโตคิว และมี 5 แยกอันโด่งดังซึ่งเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของโตเกียว นักท่องเที่ยวมากมายต่างมาที่แยกนี้ ซึ่งจุดที่จะสามารถถ่ายรูปความวุ่นวายของห้าแยกนี้ได้อยู่ที่ ชั้น2 ร้านสตาร์บัคฝั่งห้าง Tsutaya

** เราสามารถเดินเท้าไปยัง 5 แยกนี้ได้ โดยเริ่มจากสถานี Harajuku ใช้เวลาประมาณ 16 นาที หรือเราจะนั่งรถไฟใต้ดินก็ได้

7

8

9

18.45 น.   รับทานอาหารค่ำที่ชิบูย่า  แล้วก็ช็อปปิ้งตามอัธยาศัย

21.00 น.   กลับที่พักกันเถอะ

***  นั่งรถไฟใต้ดินกลับที่พัก  และเดินเท้า ไม่เกิน 5 นาทีจากสถานีรถไฟใต้ดิน Shinjuku Gyoemmae ก็จะถึงที่พักร่างของเราคืนนี้กันแล้ว Shinjuku City Tokyo N.U.T.S

10

วันที่ 13  ก.ค. 2558

09.00 น.   เดินทางไปตลาดปลา Tsukiji Market

11

12

** เมื่อถึงสถานี Tsukiji ให้ออกทางออก 1

09.35 น.   ถึงจุดหมาย ตลาดปลาซึกิจิ (หรือบางทีก็เขียนว่า “สึกิจิ”) นั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอันดับต้นๆ ของโตเกียวที่ใครๆ ก็ปักหมุดว่าต้องมาเยือน ความจริงแล้วชื่ออย่างเป็นทางการของที่นี่นั้นก็คือ

ตลาดขายส่งกลางนครโตเกียว (Tokyo Metropolitan Central Wholesale Market) เปิดบริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1935 ตลาดปลาแห่งนี้ถือว่าเป็นตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก แถมยังเป็นตลาดค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ปลาสดๆ จะขึ้นที่ท่านี้และถูกส่งไปยังทั่วโลก ความคึกคักในตลาดนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ราวๆ ตี 4 ที่จะมีการเปิดตลาดขายปลาและอาหารทะเล รวมไปถึงกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดกิจกรรมหนึ่งอย่างตลาดประมูลปลาทูน่าที่อยู่ด้านในสุดนั่นเอง

ซึ่งตลาดนี้จะคึกคักวุ่นวายกันตั้งแต่เช้ามืดเพื่อให้ทันการส่งปลาไปยังที่ต่างๆ รวมถึงนอก ประเทศญี่ปุ่นด้วย แต่สำหรับโซนนี้จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้จริงๆ ก็หลังเวลา 09.00 น. เท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการทำงานของเจ้าหน้าที่และผู้ซื้อขายนั่นเอง

ร้านอาหารรอบนอกนั้นมีมากมายหลายๆ ร้าน มีทั้งร้านอาหารทะเลทั้งสดและเผา ร้านไข่หวาน แต่ที่โด่งดังมากๆมีดังนี้

*** ร้านซูชิได (Sushi Dai) คือ ร้านซูชิอันดับหนึ่งที่ห้ามพลาด เพราะร้านนี้ถือว่าโด่งดังมากที่สุดในตลาดนี้แถมยังโด่งดังระดับโลก ที่นอกจากวัตถุดิบจะสดใหม่มากๆ แล้วฝีมือของซูชิเชฟยังถือเป็นตัวดึงดูดให้คนแวะมาชิมกันไม่ขาดสาย โดยเชฟจะบรรจงทำข้าวปั้นกับปลาหน้าต่างๆ ในสูตรพิเศษเฉพาะตัวให้ทานกันแบบคำต่อคำเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าร้านจะเปิดตั้งแต่เช้าตรู่ราวๆ ตี 5 แต่ทว่าจะมีคนตื่นมาต่อแถวกันตั้งแต่ราวๆ ตี 4 กันเชียวล่ะ แล้วแถวอันยาวเหยียดนี้ก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอดทั้งวัน ซึ่งค่าเฉลี่ยของการรอชิมของอร่อยนั้นก็อยู่ที่ราวๆ 3 ชั่วโมง แต่ก็ขอบอกว่าอร่อยคุ้มค่าแก่การรอคอยเชียวล่ะ

ที่ตั้ง : อยู่ในซอยตึกแถวหมายเลข 6   ราคา : มีให้เลือก 2 เซ็ต คือ J you แบบ 7 ชิ้น ราคา 2,500 เยน และ Omakase แบบ 11 ชิ้น ราคา 3,900 เยน)

***ซึคิจิ ยามาโชว (Tsukiji Yama-Chou) คือ ร้านไข่หวานยอดนิยม ที่แม้ภายในบริเวณตลาดซึคิจินั้นมีร้านขายไข่หวานอยู่หลายร้าน แต่ร้านที่มีชื่อเสียงยอดนิยมหน่อยเห็นจะเป็นร้านไข่หวานเสียบไม้พร้อมหม่ำที่ชื่อ “ซึคิจิ ยามาโซว”  ที่อยู่โซนด้านนอกตลาด

ร้านไข่หวานเสียบไม้ร้านนี้ใหญ่โตและมีคนต่อแถวพอสมควร ไข่หวานที่คล้ายๆ กับไข่เจียวนั้นถูกทำอย่างพิถีพิถันในแบบเฉพาะตัว ไข่นุ่ม หอมกรุ่น ราดน้ำจิ้มรสเยี่ยม ทำให้ชวนติดใจในรสชาติยิ่งนัก

10.45 น.   เดินทางออกจากตลาดปลาไปพระราชวังอิมพีเรียล ปราสาทเอะโดะ

พระราชวังโตเกียวอิมพีเรียล (Tokyo Imperial Palace) นั้นตั้งอยู่บนที่ที่เคยเป็นปราสาทเอโดะในสมัยก่อน ในปัจจุบันเป็นอยู่ประทับของราชวงศ์ญี่ปุ่น โดยรอบพระราชวังเป็นพื้นที่ของสวนขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยคูเมืองและกำแพงหิน

13

14

บริเวณที่นักท่องเที่ยวทั่วไปนิยมถ่ายรูปกันคือ สะพานนิจูบาชิ เป็นสะพานที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักเป็นอย่างมากแล้ว ยังเป็นสะพานที่สามารถข้ามผ่านไปยังเขตพระราชฐานชั้นในได้อีกด้วย

11.20 น.   ถึงพระราชวังอิมพีเรียล

12.00 น.   เดินทางไปวัดอาซากุสะ

** วัดอาซากุสะ มีชื่อเดิมว่า วัดเซ็นโซจิ เป็นวัดพุทธโบราณ แต่ที่เรียกกันติดปากว่า วัดอาซากุสะ เพราะตั้งอยู่ในย่านอาซากุสะ มีเรื่องเล่าว่าก่อนจะมีการสร้างวัด มีพี่น้องคู่หนึ่งไปเจอรูปปั้นคันนน ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตาในแม่น้ำสุมิดะ และแม้ว่าทั้งคู่จะนำรูปปั้นนี้กลับทิ้งแม่น้ำอีกสักกี่ครั้ง ก็จะมีเหตุให้รูปปั้นกลับมาอยู่ในมือของคนทั้งสองเสมอ จึงมีการสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการสักการะบูชาเทพเจ้าคันนน ต่อมาจึงมีการสร้างเป็นวัด เมื่อปี ค.ศ. 628 และสร้างเสร็จในปี 645

ปัจจุบัน การสักการะเทพเจ้าคันนน สามารถทำได้โดยโดยการรดน้ำ และตรงกลางวัดจะมีกระถางธูปขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นความเชื่อว่า ถ้าได้รับควันนี้ติดตัวมา จะโชคดีมีสุข เพราะฉะนั้นทุกคนที่ไป ก็จะไปยืนอังรับเอาไอควันนั้นเข้าตัว และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ก็คือ การทำบุญไหว้พระ ด้วยการโยนเหรียญลงในกล่องแล้วตบมือ 2 แปะ อธิษฐานเป็นอันจบพิธีไหว้พระแบบญี่ป่น และการเสี่ยงเซียมซี หรือญี่ปุ่นเรียกว่า โอมิกุจิ (Omiguji)

จุดเด่นของวัดอาซากุสะคือ โคมไฟสีแดงแดงขนาดยักษ์ ที่แขวนอยู่ที่บริเวณประตู “คามินาริมง”(ประตูฟ้าคำรณ) ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะชอบมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับโคมไฟนี้

15

14.00 น.   เดินทางจากแถบอาซากุสะไป อูเอโนไปตึกม่วงทาเคยะ (Takeya)

16

การเดินทางมาตึกม่วงทาเคยะ Takeya

นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote มาลงที่สถานี Okachimachi ทางออก North หรือ South ก็ได้เดินต่อประมาณ 2นาที

นั่งรถไฟ Toei Subway สาย Oedo ลงที่สถานี Ueno okachimachi เดินต่อประมาณ 3 นาที

นั่งรถไฟ Metro สาย Hibiya ลงที่สถานี Naka okachimachi ทางออก 3 เดินต่อประมาณ 3 นาที

นั่งรถไฟ Metro สาย Ginza ลงที่สถานี Ueno hirokoji เดินต่อประมาณ 5 นาที

18.00 น.   จากอูเอโนไป Tokyo Station

สถานีรถไฟโตเกียวไม่เพียงแต่เป็นสถานีหลักในการขึ้น-ลงรถไฟชินกันเซ็นเท่านั้น แต่สถานีแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100ปี

จุดเด่นของสถานีโตเกียวคือตัวอาคารหลักที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1914 (เกือบครบ 100 ปีแล้ว) ซึ่งมีสถาปัตยกรรมทรงยุโรปที่สวยงาม ตึกทาสีแดงเด่น กลายเป็นจุดถ่ายรูปสำคัญสำหรับคนมาแถบๆ นี้ (ได้ข่าวว่าตอนนี้ชั้นสองและสามของสถานี กลายเป็นโรงแรมรถไฟแบบคลาสสิคไปแล้ว)

17

*** ทางทิศตะวันตกของสถานีโตเกียวนี้ คือพระราชวังอิมพิเรียล หรือปราสาทเอโดะที่เมื่อกลางวันเรามาถึงแล้ว  หากเราต้องการมาสถานีโตเกียวนี้ในตอนกลางวัน เราสามารถเดินทางพระราชวังได้เลย โดยใช้เวลาเดินประมาณ  20 นาที ระยะทาง 1.7 กม.

18

19.00 น.   เดินทางไป Tokyo Sky Tree

19

ตัวหอคอยนี้จะแบ่งเป็นสองส่วนคือ

ระดับที่ 1 ความสูง 350 เมตร TOKYO SKY TREE TEMPO DECK มูลค่า 2,000 เยน
ระดับที่ 2 ความสูง 450 เมตร TOKYO SKY TREE TEMBO GALLERIATEMPO DECK ถึง GALLERIA ต้องจ่ายเพิ่มอีก 1,000 เยน ต้องมีบัตรรอคิวก่อนถึงจะซื้อได้ จุดขายบัตรขึ้น Tokyo Skytree จะอยู่ที่ชั้น 4 เวลาเปิดและปิด: 8.00 – 22.00น. ในนั้นจะมีห้างของกินเยอะแต่ถ้ากินบนหอแพง

20.30 น.   กลับที่พักกันดีกว่า…

20

วันที่ 14 ก.ค.2558

11.00 น.   กลับบ้านเฮา นั่งรถไฟไปสนามบินนาริตะ 

ทีนี้หละนึกภาพตามกันนะครับ กระเป๋าที่เราเตรียมไปได้ออกลูกออกหลาน บางใบอ้วนใหญ่จนรูดซิบปิดกันแทบไม่ได้เลยครับ การมาเที่ยวกันเองครั้งนี้กันทั้งครอบครัววัดใจกันได้เลยครับ ว่า “สู้ ไม่ สู้…” ทั้งรถเขนเอย กระเป๋าเดินทางเอย แบกกันขึ้นกระได 2 -3 รอบ แต่แล้วพวกเราก็ผ่านพ้นมันมาได้ครับ

21.00 น.   ถึงบ้านแล้วจร้า…

“พวกเราครอบครัว DaddyThumb ขอขอบคุณน้องทุกคนที่น่ารัก คอยช่วยเหลือแบกกระเป๋า แบกรถเข็นน้องพอร์ช ช่วยเราให้ไปถึงจุดหมายตามที่ได้ตั้งใจไว้ ที่จะทำให้เป้าหมายในกระดาษนั้นสำเร็จครับ ขอให้น้องๆ สวย หล่อ รวย ครับผม”

434241172345678910111213141516181920212223242526272930323334353637383944

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

#DaddyThumb.com

(Visited 132 times, 1 visits today)

Leave a Reply