ชื่อหนังสือ: “DaddyThumb: พ่อมือเปื้อนฝัน”

“เมื่อความหวังพังทลาย.. ต่อหน้าต่อตา.. คุณพ่อที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน.. จะเป้นอย่างไร..”

บทที่ 1: เมื่อพ่อกลายเป็นคนว่างงาน

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในเช้าวันจันทร์ มันไม่ใช่สายจากลูกค้า หรือเพื่อนร่วมงาน แต่มัน.. คือสายจากฝ่ายบุคคลของบริษัทที่ผมทำงานมานานกว่า 15 ปี ข่าวร้ายที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็คือ “เราต้องขอแจ้งให้คุณทราบว่า… บริษัทจำเป็นต้องปลดพนักงานบางส่วน และคุณเป็นหนึ่งในนั้น”

คำพูดเหล่านั้นทำให้หัวใจของผมหยุดเต้นไปชั่วขณะ ผมนั่งนิ่ง กำโทรศัพท์ไว้แน่น ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปว่าอะไร สมองของผมว่างเปล่า นี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ผมไม่เคยเตรียมใจมาก่อน การเป็นหัวหน้าครอบครัว หมายถึงการต้องดูแลค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงของตัวเอง แต่ยังรวมถึงภรรยาและลูกชายวัย 6 ขวบของผมด้วย

คืนนั้นผมนอนไม่หลับ มองดูเพดานห้องพลางคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง.. ผมพยายามคิดหาทางออก แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ความกลัวก็ยังคงกัดกินหัวใจ ไม่ใช่เพียงแค่การไม่มีรายได้ แต่ยังเป็นความรู้สึกสูญเสียตัวตน ผมเคยเป็นคนที่ตื่นไปทำงานทุกวัน มีเป้าหมาย มีหน้าที่ แต่วันนี้… ผมกลายเป็นคนที่ไม่มีงานทำ

เช้าวันถัดมา ผมตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าความจริงยังคงเหมือนเดิม แต่มี.. สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือเสียงหัวเราะของลูกชายผมที่วิ่งเข้ามากอดผมอย่างสดใส “พ่ออยู่บ้านด้วยวันนี้! เย้!” เขาไม่ได้รับรู้ถึงปัญหาของผมเลยสักนิด สำหรับเขา นี่คือโอกาสที่เขาจะได้ใช้เวลากับพ่อมากขึ้น

นั่นคือช่วงเวลาที่ทำให้ผมฉุกคิด บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสที่ผมไม่เคยได้มองเห็นมาก่อน.. โอกาสที่จะได้อยู่กับลูก ได้เข้าใจชีวิตในมุมที่แตกต่างไปจากเดิม ผมตัดสินใจว่าแทนที่จะจมอยู่กับความกังวล.. ผมจะใช้เวลานี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แต่เส้นทางใหม่นี้ไม่ได้ง่ายเลย…

บทที่ 2: โลกใหม่ของพ่อบ้านเต็มเวลา

วันแรกของการเป็นพ่อบ้านเต็มเวลาของผมเริ่มต้นขึ้น.. ผมตื่นมาอย่างไม่มีนาฬิกาปลุกเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่แทนที่จะได้พักผ่อน ผมกลับพบว่าตัวเองต้องรับมือกับความวุ่นวายในบ้านที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน

“พ่อ หิว!” เสียงลูกชายตัวเล็กของผมดังขึ้น ผมเดินไปที่ครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้เขา ปกติแล้วนี่เป็นหน้าที่ของภรรยา.. แต่วันนี้เธอต้องออกไปทำงานแต่เช้า ผมหยิบขนมปังและไข่ออกมา.. แต่การทำอาหารดูจะไม่ง่ายอย่างที่คิด ไข่ไหม้ ขนมปังเกรียม ลูกชายมองผลงานของผมแล้วยิ้มขำ “พ่อทำอาหารตลกจัง!”

หลังจากมื้อเช้าที่ไม่ค่อยสมบูรณ์แบบ ผมพาเขาไปโรงเรียน.. ระหว่างทางเราคุยกันมากกว่าที่เคย ลูกชายผมเล่าเรื่องในโรงเรียนให้ฟังอย่างตื่นเต้น ผมเพิ่งตระหนักว่าก่อนหน้านี้ผมเคยยุ่งจนพลาดช่วงเวลาแบบนี้ไป

เมื่อกลับถึงบ้าน ความเงียบเข้ามาปกคลุม.. ผมนั่งอยู่กับตัวเองและคิดถึงอนาคต ผมต้องหาทางสร้างรายได้ใหม่ แต่จะทำอะไรดีล่ะ? งานประจำหมดไปแล้ว โลกใบนี้มีอะไรให้พ่อวัย 40 อย่างผมทำอีกบ้าง?

คำถามนี้ยังไม่มีคำตอบ แต่ผมรู้ว่าสิ่งเดียวที่ผมทำได้ตอนนี้ คือทำหน้าที่พ่อให้ดีที่สุดก่อน

บทที่ 3: การลองผิดลองถูกของพ่อขาลุย

หลังจากอยู่บ้านมาได้สองสัปดาห์.. ผมเริ่มรู้สึกว่าการเป็นพ่อบ้านเต็มเวลานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากการทำงานบ้านที่ดูเหมือนจะไม่มีวันจบ ผมยังต้องคิดหาวิธีหารายได้เสริมเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวด้วย

ผมลองหางานพาร์ทไทม์ออนไลน์.. แต่ด้วยวัย 40 และทักษะที่ล้าสมัยในบางเรื่อง ทำให้การหางานใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมส่งใบสมัครไปหลายที่แต่ก็ไม่มีข่าวตอบรับ ผมเริ่มคิดว่า ถ้าหางานไม่ได้ ผมควรลองสร้างงานเองไหม?

ผมหันไปมองรอบตัวและเห็นว่าชีวิตพ่อบ้านทำให้ผมมีโอกาสเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ผมเริ่มจากการขายของออนไลน์.. ลองขายสินค้ามือสองของลูกที่ไม่ใช้แล้ว แต่ก็พบว่าแข่งกับพ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมจึงเปลี่ยนไปลองทำอาหารขาย.. แต่รสชาติของผมยังไม่อร่อยพอให้คนติดใจ

การลองผิดลองถูกของผมเต็มไปด้วยความล้มเหลว แต่ทุกครั้งที่ล้ม ผมก็ได้เรียนรู้ และลูกชายของผมยังคงเป็นกำลังใจสำคัญเสมอ “พ่ออย่ายอมแพ้นะ พ่อทำได้!” คำพูดเล็ก ๆ ของเด็ก 6 ขวบ กลับมีพลังที่ทำให้ผมอยากสู้ต่อ

ผมเริ่มมองหาสิ่งที่ตัวเองรักและถนัด จนวันหนึ่ง.. ผมค้นพบว่าผมรักการเล่าเรื่อง และการเขียน ผมเคยเล่านิทานให้ลูกฟังทุกคืน แล้วทำไมผมไม่ลองเขียนหนังสือดูล่ะ? นี่อาจเป็นโอกาสใหม่ของผมก็ได้

และนี่คือจุดเริ่มต้นของความหวังครั้งใหม่…

บทที่ 4: ก้าวแรกของนักเขียนมือใหม่

หลังจากค้นพบว่าตัวเองรักการเล่าเรื่อง ผมเริ่มต้นลงมือเขียนอย่างจริงจัง.. ผมหยิบสมุดโน้ตเก่า ๆ ขึ้นมา และเริ่มบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผมเคยเล่าให้ลูกชายฟัง ผมลองเขียนนิทานสั้น ๆ และโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียเพื่อดูปฏิกิริยาของผู้อ่าน

ในช่วงแรก ไม่มีใครสนใจผลงานของผมเลย ผมรู้สึกท้อแท้.. แต่ลูกชายของผมกลับเป็นกำลังใจสำคัญ “พ่อเล่าให้หนูฟังอีกสิ หนูชอบนะ” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มสดใส คำพูดของลูกทำให้ผมฮึดสู้ต่อ.. ผมเริ่มศึกษาการเขียนอย่างจริงจัง ลองปรับปรุงสไตล์การเขียน และใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการเผยแพร่

ไม่นานนัก.. เรื่องราวของผมก็เริ่มได้รับความสนใจ มีคนแชร์และแสดงความคิดเห็นมากขึ้น ผมรู้สึกว่าตัวเองกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง การเขียนไม่ใช่เพียงแค่ทางรอดทางการเงิน แต่ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข

นี่คือจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อน…

DaddyThumb1

บทที่ 5: DaddyThumb บทเรียนจากการเปลี่ยนแปลง

เมื่อเวลาผ่านไป.. ผมเริ่มได้รับการยอมรับในฐานะนักเขียน ผลงานของผมถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือเล่มแรก และได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้อ่าน ผมไม่เคยคิดเลยว่าจากวันที่ตกงาน วันที่หมดหวัง.. ผมจะสามารถลุกขึ้นมาสร้างสิ่งใหม่ให้กับตัวเองและครอบครัวได้

แต่สิ่งที่สำคัญกว่าความสำเร็จทางอาชีพ.. คือบทเรียนชีวิตที่ผมได้รับ

ผมได้เรียนรู้ว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงมาพร้อมกับโอกาส.. หากวันนั้นผมจมอยู่กับความเศร้า.. เสียใจกับสิ่งที่สูญเสียไป ผมคงไม่ได้พบเส้นทางใหม่ที่ทำให้ผมมีความสุข.. ผมอาจไม่ได้ใช้เวลากับลูกชายอย่างที่ควรจะเป็น และที่สำคัญ ผมอาจไม่ได้ค้นพบตัวเอง

ผมได้เรียนรู้ว่า ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่ดีกว่า.. ผมเคยกลัวว่าการไม่มีงานทำจะทำให้ผมสูญเสียคุณค่า แต่จริง ๆ แล้ว คุณค่าของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือเงินเดือน.. แต่มันอยู่ที่ว่าเราสามารถลุกขึ้นมาและใช้ชีวิตอย่างมีความหมายได้หรือไม่

และสุดท้าย ผมได้เรียนรู้ว่า ครอบครัวคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด.. ในวันที่ผมหมดหวัง ลูกชายของผมคือคนที่ทำให้ผมยิ้มได้ ในวันที่ผมล้ม ภรรยาของผมคือคนที่คอยให้กำลังใจ ผมอาจจะเคยหลงลืมสิ่งสำคัญเหล่านี้ไปเมื่อตอนที่ชีวิตยุ่งเหยิงอยู่กับงาน แต่วันนี้ ผมมั่นใจว่าผมเข้าใจมันอย่างแท้จริง

DaddyThumb ไม่ใช่แค่เรื่องของผม แต่มันคือเรื่องของทุกคนที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต มันคือเรื่องของคนที่เคยล้ม แต่ยังมีโอกาสลุกขึ้นมาได้ใหม่

ถ้าคุณกำลังรู้สึกสิ้นหวัง ผมอยากให้คุณรู้ว่า ทุกวันใหม่คือโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่เสมอ..

และบางครั้ง… โอกาสที่ดีที่สุด อาจซ่อนอยู่ในช่วงเวลาที่คุณคิดว่ามืดมนที่สุด..

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *