วันนี้ครอบครัวผมได้ส่งผมไปเป็นตัวแทนประชุม ‘ปฐมนิเทศผู้ปกครองนักเรียนใหม่’ เพื่อได้ทราบนโยบายของโรงเรียนของน้องพอร์ช และแนวทางปฏิบัติที่สำคัญ รวมไปถึงการสร้างความเข้าใจในเรื่องลักษณะแรกเข้าของนักเรียนใหม่ และบทบาทของพ่อแม่ในการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ร่วมกับโรงเรียนของลูก
เมื่อผมมาถึงโรงเรียนลูกเริ่มต้นจากการลงทะเบียนผู้ปกครอง พร้อมรับเอกสารประกอบการปฐมนิเทศผู้ปกครองนักเรียนใหม่
จากนั้นคุณครูก็ได้บอกเล่าในเรื่องจะมีการทำกิจกรรมในระหว่างเรียน ไหนคุณพ่อคุณแม่ท่านใดเต้นได้บ้างยกมือขึ้น “เอาละซิ… จะทำอย่างไรหละทีนี้ งานเข้าแล้ว อายเขาสิ”
ครูได้บอกว่าไม่เป็นไรค่ะครูล้อเล่น เดี๋ยวครูเต้นให้ดูเอง ‘ผมเลยนี่โล่งใจสุดๆ ครับ…’ 5+
หลังจากนั้นก็เข้าสู่การปฐมนิเทศผู้ปกครองอย่างเป็นทางการแล้วหละครับ ครูได้บอกเวลารับส่งลูก และข้อห้ามต่างๆ ที่จะขอความร่วมมือกับผู้ปกครองในเรื่องต่างๆ เช่น คุณพ่อคุณแม่ควรงดเล่นมือถือในสนามเด็กเล่น ไม่ควรให้เด็กอยู่ตามลำพัง และใช้สนามเด็กเล่นได้แค่ 17.30 น. เพราะลุงจะมาทำความสะอาด
สำหรับเด็กที่ไม่ยอมแต่งชุดนักเรียนมาเรียน ก็ไม่ต้องบังคับเด็กจนไม่อยากมาโรงเรียน ครูบอกให้มาทั้งชุดนอนได้เลย ทางโรงเรียนจะจัดการให้เองค่ะ เพราะเด็กยังต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตใหม่อยู่ และพ่อแม่ต้องนำเด็กมาตรวจสุขภาพกับครูทุกวันตอนเช้านะ
สำหรับที่บ้านพ่อแม่ต้องอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังอย่างน้อยวันละ 1 เล่ม มายืมที่ห้องสมุดได้ครั้งละ 3 เล่ม อยู่ได้ 3 วันต้องนำมาคืน สำหรับครอบครัวเดี่ยวที่พ่อแม่ทำงานทั้งคู่ ควรต้องหาเวลาอ่านหนังสือนิทานให้ลูกทุกวันให้ได้ ไม่มีข้ออ้างนะครับ
จากนั้นครูได้เล่าถึงประวัติของโรงเรียนอนุบาลนี้ว่าเปิดมาตั้งแต่ปี 2500 ซึ่งย้ายมาจากที่แรกโดยมาตั้งที่นี่ และบอกเกี่ยวกับการเรียนการสอนของที่นี่จนละเอียดครับ
หลังจากนั้นพวกเราพ่อแม่ได้ฟังวิทยากรรับเชิญ คุณครูหวาน อ.ธิดา พิทักษ์สินสุข มาให้ความรู้กับคุณพ่อคุณแม่เรื่องการเลี้ยงลูกน้อย
ครูหวานบอกว่าครั้งแรกในการปรับตัวเด็กใหม่ จะใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ เด็กที่ร้องโวยวายตั้งแต่วันแรกจะดูแลไม่ยากนัก แต่เด็กที่มาร้องกระซิกๆ หรือมาร้องให้ในวันหลังๆ จะดูแลอยากกว่า
ส่วนใหญ่พ่อแม่จะกลัวเรื่องสุขภาพของลูกตอนมาโรงเรียน เพราะตอนนี้โรคที่ระบาดในเด็ก เช่น โรคมือเท้าปาก ก็เป็นโรคที่มีมาแต่ดั้งเดิม แต่เชื้อโรคแข็งแรงมากขึ้น ประจวบกับเด็กส่วนมากร่างกายอ่อนแอลง ครูแนะนำให้เด็กออกกำลังกายทุกวัน ตอนนี้ไข้หวัดมีหลายสายพันธ์ ต้องทำอย่างไรให้เด็กมีภูมิต้านทานสูง
- พ่อแม่ควรล้างมือกับลูกบ่อยๆ ให้เป็นนิสัย
- เด็กต้องดื่มน้ำเยอะๆ จิบน้ำบ่อยๆ ช่วยให้มีการไหลเวียนในร่างกาย และสมองแจ๋มใส
- ใช้กระติ๊กน้ำที่มีสเกลระดับน้ำ จะได้เช็คปริมาณน้ำที่เด็กได้รับแต่ละวัน
- ไม่ควรไปนอนโรงพยาลบ่อยเพื่อใช้ประกันสุขภาพ เพราะเด็กจะไปรับเชื้อโรค ไม่คุ้มกันเลย
- ลดการใช้ยาปฎิชีวนะ เพราะร่างกายมนุษย์มีกลไกลที่จะสร้างภมูิต้านทานเองได้ ถ้าใช้ยาบ่อยๆ เด็กจะสูญเสียภูมิต้านทานนะ
เด็กแรกเข้าเรียนจะมีสภาพอารมณ์ไม่ค่อยแจ๋มใส อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เด็กทานข้าวน้อยลงกว่าปกติ พ่อแม่ไม่ต้องเป็นกังวล สำหรับการทานข้าวของลูก ต้องให้เด็กจบการทานข้าวคำสุดท้ายเองให้ได้นะครับ เพราะจะทำให้เด็กมีความมั่นใจในการทานครั้งต่อไป
พร้อมกับชมเชย เด็กจะทานข้าวเองเก่งขึ้น เช่น พูดว่า… ‘จะหมดแล้วนะลูก คำสุดท้าย ลูกทานเองซิครับ’
การทานอาหารของเด็ก 2 ขวบ ให้ในปริมาณน้อยๆ ก่อน และค่อยๆ เพิ่มในจานไปเรื่อยๆ เอาพออิ่มอร่อย เด็กจะทานได้มาก
ส่วนเด็ก 3 ขวบ ถ้าพ่อแม่เดินตามป้อนให้เลิกซะ ต้องให้เด็กตั้งหลักในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้ได้ โดยการยืนยันกับเด็กว่าหนูต้องทำให้ได้
‘พ่อแม่เราๆ ไม่ควรประเมินค่าเด็กต่ำกว่าศักยภาพ เพราะลูกทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด’
มีข้อคิดดีๆ สมุติว่า… ถ้าวันหนึ่งมีคนมาโขมยตัวคุณพ่อคุณแม่ไปจากลูกๆ จะอยู่อย่างไรในวัย 0 – 12 ปี?
- ต้องหัดให้เด็กช่วยเหลือตัวเองให้ได้
- ให้อยู่ร่วมกับคนอื่นได้
- รู้จักตัวเอง มีทัศนคติที่ดีต่อตัวเองและโลกใบนี้
- รู้จักยับยั้งชั่งใจ มีวินัย
- รักการเรียนรู้
สิ่งที่น่าคิด…
‘พ่อแม่มีโอกาสลงทุนที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับลูก แค่ 12 ปีแรกเท่านั้น หลังจากนั้นเด็กจะมีสังคมใหม่ และจะห่างจากพ่อแม่’
ถ้าพ่อแม่ดูแลลูกดี เด็กจะดีไปตลอดชีวิต ยิ่งใหญ่กว่าการลงทุนในธุรกิจเสียอีก เพราะพ่อแม่จะมีความสุขมาก ก็ตอนเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ได้ปลูกให้กับลูกไว้ครับ เหมืออนการก่อกำแพงอิฐก่อนแรกๆ ต้อแข็งแรงงมั่นคง เราไม่มีทางเอาเวลาของลูกกลับคืนมาได้
พ่อแม่ต้องสอนลูกแบบนกในภาพ เพราะต้องให้ลูกเผชิญโลก ละอยู่ได้ด้วยตัวเอง
อย่าให้เด็กมีโลก 2 ใบ คือ ใบที่ 1 เก่งตอนอยู่โรงเรียน ส่วนใบที่ 2 พ่อแม่ตามอุ้มตามป้อน แก้ไขโดยต้องหัดให้เด็กกินง่ายอยู่ง่าย กินผักได้ และเมื่อลูกทำได้ดี ให้เชียร์แรงๆ การก้าวข้ามใจครั้งที่หนึ่ง สำคัญมากที่สุด
3 ขวบแรก สำคัญที่สุด เพราะ EF (Executive Function Skill) จะรวมประมวลศักยภาพสมองของมนุษย์ เป็นกองบัญชาการของสมอง เด็กจะมีการพัฒนาสมองต่างๆ ได้ดีมากในช่วงนี้
- เรียนแบบได้เก่ง มีความจำดี
- คิดสร้างสรรค์ดี
- ยั้งคิดไตร่ตรองตั้งแต่วัยเล็ก
- วินัยฝีกควบคุมอารมณ์
การอยู่ร่วมกับลูกในบ้าน ต้องไม่ให้ลูกเป็นเสหมือนแขกในบ้านที่เราต้องต้อนรับหรือไม่ให้ทำอะไรเลย ทางที่ดีจะต้องให้ลูกมีส่วนร่วมในงานบ้านมากที่สุด พ่อแม่ต้องใช้อำนาจเชิงบวกและใจต้องแข็ง เมื่อสอนลูกต้องยืนยันด้วยเทคนิคสงบ และยืนยันด้วยความคิด เช่น บอกมาว่าอันนี้ซื้อไม่ได้ ไม่ซื้อ ทำการยืนยันชัดเจน มีเหตุผล
‘สอนด้วยรัก สอนด้วยความสุข’
‘ต้นไม่งดงามได้ ต้องมีการตัดแต่งกิ่ง’
ถ้ามีเรื่องอะไรให้คุยกับครูโดยตรง ไม่ควรส่งใครไปเจราจาแทน ไม่ต้องกลัวครูเกลียดลูก
เด็ก 0 – 6 ปี จะทำงานกับจิตใต้สำนึกของลูก เด็กจะจดจำ ให้คำปรึกษาที่ดีกับลูก ต้องใช่เทคนิคอำนาจเชิงบวกของพ่อแม่ด้วย พ่อแม่ต้องช่วยกันตั้งเป้าหมายให้ลูก พาเขาเดินเข้าสู้เป้าหมาย และเป้าหมาย ก็คือลูกนั่นเองครับ
หลังจากฟังบรรยายเสร็จแล้ว ครูก็พาพ่อแม่ไปยังห้องที่ลูกพวกเราเรียนกัน เพื่อไปพูดคุยในแบบการเรียนการสอน และให้ดูสิ่งแวดล้อมในห้องเรียนครับ
‘การที่ผมได้มาฟังในวันนี้ ทำให้ผมได้รับประโยชน์มากครับ เพื่อนำไปพูดคุยกันในครอบครัว จะได้นำไปใช้กับลูกอย่างถูกวิธี และได้ร่วมมือกับโรงเรียนในการสร้างคนจริงๆ ครับ’